รีวิวเจาะลึก New Madone SLR 8 rimbrake
เราได้เห็น Madone SLR มาสักระยะนึงแล้ว และก็มีการรีวิวออกมามากมาย ก็คงได้รู้ข้อมูลทางเทคนิคกันมาประมาณนึงแล้ว…
เพราะฉนั้นเราจะมาพูดคุยให้เพื่อนๆฟังกันแบบเข้าใจง่ายๆใช้ภาษาแบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังกันครับ
Madone เวอร์ชั่นแรกเปิดตัวมาตั่งแต่ปี 2003 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งชื่อเสียงที่สั่งสมมา พอมาปี 2018 ก็ได้เปิดตัวรุ่นใหม่ออกมา เป็น Generation ที่ 6
ในนามเรียกขานว่า NO.6 ซึ่งที่มาก็คือ Madone generation ที่ 6 นั่นเอง ที่เราเรียกกันง่ายๆว่า Madone SLR
ได้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาใหม่ทั้งหมดเรียกได้ว่า ใช้อะไหล่กันคนละตัวเลยที่เดียว
จุดที่มีการพพัฒนาอย่างชัดเจนก็จะมี
-ตัวเฟรมได้นำ carbon แบบ OCLV700 ซึ่งเป็น carbon เกรดสูงสุดของทางบริษัท ซึ่งปกติจะอยู่ในตัว TREK PROJECT ONE ที่เป็น h1 เท่านั้น มาใช้ในรุ่นนี้ด้วย
-มีการปรับระบบ IsoSpeed บริเวณท่อนั่งใหม่ ให้ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายเหมาะสมกับแต่ละบุคคล สามารถปรับเพิ่มระดับการทำงานได้หลายระดับ
-ปรับองศาใหม่ ให้อยู่ตรงกลางระหว่าง องศา h1 ที่ก้มมาก กับ h2 ที่เน้นไปที่ความยืดหยุ่นและความสบาย เป็น h1.5 ที่สามารถปรับให้เป็นได้ทั้งสองแบบ ทำให้ง่ายกับการ ฟิตติ่ง เพื่อให้เข้ากับแต่ระบุคคลได้ดีขึ้น
ส่งผลในเรื่องการเซทท่าการก้มทำให้ยืดหยุ่นได้มากขึ้น เพราะทำองศาออกมาอยู่กลางๆจะทำให้ท่าปั่นแบบ performance ก็ได้หรือเซทให้ comfort ก็ได้เช่นกัน
เช่น ที่ขนาด 50 เฟรม เท่ากัน ท่อคอจะมีความสูงต่างกันประมาณนึง อย่างเช่น เฟรม h1 ท่อคอสูง 100 มม. เฟรม h2 ท่อคอสูง130 มม. ส่วน h1.5ท่อคอสูง 111 มม.
หรือจะดูที่ frame stack ตัว h1จะอยู่ที่ 506 มม. h2 จะอยู่ที่ 540 มม. h1.5 จะอยู่ที่ 521 มม.
-แฮนด์ออกแบบใหม่แยกกับสเต็ม แต่ยังคงความแอร์โร่ที่ดีเหมือนเดิม และตัวแฮนด์สามารถปรับองศาการก้มเงยของชุดแฮนด์ได้ + – 5 องศาด้วยกัน
-ส่วนสเต็ม ก็มีให้เลือก สององศาด้วยกันคือถ้าอยากปรับให้ performance หน่อยก้มเยอะๆ ก็สามารถเลือกใช้ สเต็ม -12 เพื่อให้ได้องศาเดียวกับ h1 ในส่วนสเต็มที่ติดมากับตัว complete จะเป็น องศา -7 ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนตัว h2 ทำให้ปรับท่าปั่นได้ง่าย
-เบรค นอกจากจะมีให้เลือกทั้ง rim brake และ disc brake แล้วในส่วนของ rim brake ยังได้มีการออกแบบใหม่ เพิ่มความ แอร์โร่ที่มากขึ้นโดยนำเอาเบรคหน้าไปซ่อนไว้ด้านหลังตะเกียบ ส่วนเบรคหลังยังอยู่ในตำแหน่ง เดิมแต่ได้ปรับปรุงรูปแบบใหม่ และยังส่งผลให้กำลังเบรคดีขึ้นจากเดิมพอสมควร
ในส่วนประกอบต่าง ก็จัดเต็มตามแบบฉบับตัวท็อป
ในรายละเอียดของส่วนประกอบก็จะมีประมาณนี้
- จานหน้า Dura-ace r9100 ขนาด 52-36 ส่วนความยาวขาจานจะขึ้นอยู่กับ size ของรถด้วยครับ
- ชิปเตอร์ Dura-ace r9100
- สับจานหน้า Dura-ace r9100
- ดีนผี Dura-ace r9100 สำหรับตีนผีรุ่นใหม่ จะสามารถรองรับเฟื่องหลังได้ถึง 30 ฟัน
- เฟื่อง Dura-ace r9100 ขนาด 11-28
- โซ่ Dura-ace r9100
- เบรค integrated brake ที่ทาง Trek ได้ปรับปรุงจากเดิมให้มีกำลังเบรคที่ดีขึ้ยน
- ล้อ Bontrager Aeolus Pro 5 Tubeless Ready ตัวนี้รองรับการใช้งานยางแบบที่ไม่ต้องใช้ยางในที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ ในขณะนี้
- ยาง Bontrager R3 ขนาด 700x25c
- เบาะ Bontrager Montrose Elite ตัวรางเป็น titanium ความกว้าง 138
- ผ้าพันแฮนด์ เป็นของ Bontrager
ส่วนของพวก แฮนด์ สเต็ม และ หลักอาน ก็เป็นของ Trek เอง
ในส่วนราคาตัวนี้ ราคา เปิดตัวมาที่ 222,000 บาท
ส่วนท่านได้สนใจที่จะทำ Projectone สำหรับสเปค นี้ราคาจะเริ่ม 296,000 บาท ครับ
สอบถามรายระเอียดอื่นๆ หรือส่วนลดเพิ่มเติม ได้ที่
Line id : @Letsbike (มี @ นำหน้า)
โทร 086-0009824, 02-9829166
ร้านอยู่ในเมืองทองธานีครับแผนที่ร้าน
Www.letsbike.co.th/map
ร้านเปิด อังคาร-อาทิตย์ 10.00-1 ทุ่ม ปิดวันจันทร์
หรืออยากลองออกแบบรถในแบบของคุณเองก็สามารถทำได้ โดยสามารถเข้าไปได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ
https://www.trekbikes.com/us/en_US/project-one/
นี่ก็คือส่วนหลักๆที่ทีการเปลี่ยนแปลงที่นอกเหนือจากรูปทรงภายนอก ก็เป็นข้อมูลที่เอาไว้พิจารณาตัดสินใจของเพื่อนๆครับผม